ซูชิ Mizu by SanKyoDai
ปกติจะกินซูชิแบบธรรมดา ไม่ได้มีโอกาศมาทานซูชิร้านดีๆแบบนี้บ่อยมากนัก
ซึ่งมื้อนี้เรามีผู้สนับสนุนทำให้ได้มีโอกาศสัมผัสประสบการณ์ความสดของซูชิ
รีวิวตามใจคนทาน อาจจะไม่รู้ลึกหรือรู้จริง เอาไว้อ่านเรียกน้ำย่อยจากหลายๆรีวิวละกันครับ
ร้าน Muzu โดยเป็นร้านเจ้าของเดียวกับ Sankyodai ที่มาทานเป็นมื้อกลางวัน (รอบ 11.30-14.30) ร้านเปิดวันละสองรอบ
หน้าร้านมีป้ายร้าน และ รางวัลที่ร้านนี้ได้รับแปะอยู่ เป็นรางวัลของ Best Restaurant Awards และ จากของ Wongnai
เมนูที่เราทานวันนี้ แต่น แต้นนนน… อ่านไม่ออกเลย แต่รู้ว่ากินแพงสุด 4000++ (ไม่รวม vat กับ service)
เป็นคอร์ส Omakase 12-15 คำ หารออกมาเป็นคำแล้วน้ำตาจะไหล
แต่เมื่อมีคนเลี้ยงเราต้องกินให้คุ้มค่า เคี้ยวคำละร้อยครั้ง เก็บไว้ในท้องอีกห้าวัน
หลังจากเข้ามานั่งและสั่งอาหาร ในร้านจะมีที่นั่งหน้าเคาน์เตอร์ 7 ที่นั่ง และโต๊ะเล็กนั่งอีกประมาณ 4 ตัว
มีจานชามถาดผ้าเย็น มาวางเตรียมพร้อมให้ก่อนจะเริ่มทาน เชฟแนะนำตัวเล็กน้อย และ บางท่านก็เตรียมอาหาร
ด้วยที่เป็นเวปขายเครื่องครัว ไม่ได้รีวิวอาหารเป็นหลัก (แต่กินเป็นหลัก) จะขอพูดถึงเครื่องครัวที่ใช้ว่า
เป็นเซรามิคดินเผาอย่างดีนำเข้าจากญี่ปุ่นทุกชิ้นซึ่งหาซื้อที่ร้านเราได้ (ได้ที่ไหนวะ..ไม่ได้นะครับไม่ต้องสั่งกันมา)
เริ่มแล้วครับ เชฟเริ่มเตรียมอาหารให้เราทานกัน เชฟทั้งสามแบ่งหน้าที่กันทำทั้งแล่ปลา อบเครื่องใน ขูดวาซาบิ
ระหว่างที่เรารอเชฟกำลังทำงานกันอย่างตั้งใจ ทางพนักงานก็มาเสริฟชาเขียวกับสาเกเย็น
เพื่อให้เราจิบไปพลางกระดิกเท้าดูเชฟเหน็ดเหนื่อยกันไป
-แก้วสาเกเย็นเสริฟ กับ แก้วชาเขียวร้อน ชอบแก้วชาเขียวมากเนื้อหนา จับที่แก้วไม่ร้อนมือ
และแล้วออเดอร์แรกจากหยาดเหงื่อแรงงานของเชฟก็ลงเสริฟ เป็น สเปริมปลา
ตัวนี้ชื่อฟังดูแหยงๆแต่มาเป็นแบบชุบแป้งมาบางๆ พอทานไปนี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นสเปริมปลา
ยังนึกว่าเป็นเนื้ออย่างอื่น ไม่มีกลิ่น ไม่คาว เรียกน้ำย่อยได้ดี
ตัวสเปิรมนิ่ม แบบไม่ต้องเคี้ยว เอาลิ้นดันๆก็แตกลงคอได้เลย (ทำไมรู้สึกทะลึ่ง)
-เห็นชามดีใจ เยอะมาก เปิดมาอยู่ก้นถ้วยสองคำ เอาน่าๆเหลืออีกสิบกว่าคำน่าจะอิ่ม
คำต่อไปมีจานมาวาง สำหรับ appetizer เรียกน้ำย่อยอีกเมนู
จานซูชิตัวนี้เป็นเซรามิกนำเข้าเช่นกัน แต่ทางร้านมีแบบเหมือนกันแต่เป็นเมลามีนสีดำเล่นลวดลาย
จานซาซิมิเมลามีน 11 นิ้ว F-160811 ฟีนิกซ์ (Phoenix)
อาหารเรียกน้ำย่อยอีกอันจะเป็นหอยแครงแล่มาเป็นชิ้นๆ เนื้อกรอบ เคี้ยวกรุบ
ทานพร้อมวาซาบิที่ขูดจากต้นสดๆ และ น้ำจิ้ม ได้รสชาติดี
อาหารเรียกน้ำย่อยต่อมาคือ Isaki ปลากระพง ตัวนี้เชฟอธิบายความเป็นมาว่า ปกติปลาประพงสายพันธ์นี้จะมาแค่บางฤดู
แต่ปีนี้เกิดมรสุมอากาศหลายที ทำให้ปลาตัวนี้มาเร็วกว่ากำหนด เนื้อปลาสีสวยออกชมพูอมแดง
เนื้อแน่นไม่เหนียวและไม่ยุ่ย รสชาติออกมันอมหวาน ทานคู่กับวาซาบิก็อร่อย หรือ ทานเปล่าๆคู่มะนาวก็หวานมาก
เมนูนี้เป็นเมนูอร่อยอันดับต้นๆของที่ทานไปเลยครับ
คำต่อไปเป็นเมนูล้างปากก่อนที่จะไปทานซูชิ เป็นสาหร่ายห่อ ข้างในเป็นไชเท้าและสาหร่ายพวงองุ่น
ที่ทำให้ตัวนี้อร่อยจะเป็นซอสที่ใส่เข้ามาด้านใน จะออกเปรี้ยวๆหวานๆ ทานแล้วสดชื่น
ตัวสาหร่ายก็กรอบ และหอมมาก (สาหร่ายนี่ถามเชฟได้มาว่าห่อละ 3,000 บาท ว่าจะซื้อมากินเล่นๆซักสิบซอง)
Kurodai ปลากระพงดำ เริ่มจากคำนี้ จะไม่มีน้ำจิ้ม หรือ ตะเกียบ
จะใช้มือล้วนๆกิน ด้วยเหตุผลเรื่องอุณหภูมิของข้าว
ส่วนวาซาบิกับซอส ทางเชฟจะใส่ลงไปในข้าวเลย สามารถเลือกได้ว่าชอบเยอะหรือน้อย
เนื้อปลาหลายๆชนิด เชฟได้ทำการบ่ม (age) เพื่อให้รสชาติอร่อยขึ้น วัตถุดิบบางอย่างต้องกินสด บางอย่างต้องกินแบบบ่ม
จะได้ความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์ของมันเอง บางชนิดบ่มไว้ถึง 7-10 วัน(กินภายใน 10 วิ)
หอยเม่น มีหลายชนิด มีตั้งแต่กล่องละไม่กี่ร้อยจนไปถึงกล่องละหมื่น ซึ่งคำที่ทานไปนี้ละลายในปากมาก หวานมันสุดๆ
คำต่อไปเป็นตับปลา Anko ราดซอสพอนสึ คำนี้เชฟให้ดูรูปปลาหลังทานเข้าไปแล้ว ทำให้ความอร่อยลดลงไปทันที
-ตับปลา Anko รูปปลาถ่ายมาจากไอแพดเชฟอีกทีนึง มีเมือกเต็มปากคอลลาเจนเพียบแน่ๆ
คำนี้เป็นอีกคำที่คนที่ประทับใจ คือปลาหมึกครับ ก่อนกินคิดว่าคำนี้น่าจะธรรมดา แต่จริงๆคือดีมาก
เนื้อปลาหมึกไม่หนามาก เด้ง เหนียวแต่เคี้ยวง่าย เคี้ยวไปแต่ละคำจะแอบกรอบเล็กน้อย อร่อยโฮกจริงๆ
ต่อไปเป็นส่วน ชูโทโร่(ท้องปลามันปานกลาง) และ โอโทโร่(ท้องปลาส่วนไขมันมาก)ตัวนี้พระเอกเลย
เป็นคำที่อร่อยที่สุด จนลืมโอโทโร่ที่เคยกินมาทั้งหมดไปเลย เนื้อเหนียวนุ่มมันหวานครบทุกรสชาติและสัมผัส
โอโทโร่ (ท้องปลามันมาก)
ไฮไลท์อีกอันคือไข่หวาน คำนี้เชฟบอกว่าทำก้อนละ 3 ชั่วโมง
เร่ิ่มจากเอากุ้งจากเมืองชิบะ ผสมกับเครื่องเทศ บดด้วยครกจนละเอียด ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
นำไปผสมกับไข่ และเปิดไฟให้เบาๆให้ไข่ค่อยๆเซตตัวขึ้นมาเอง รวมๆใช้เวลาอีก 2 ชั่วโมง
ได้ไข่หวานที่รสชาติเหมือนเค้กมากๆ เนื้อเนียนนุ่มหวานแอบเห็นราคาสั่งต่างหากว่าคำละ 120 บาท
ต่อไปเป็นซุปกา ล้างปากอีกรอบก่อนจะถึงของหวาน
-ซุปกา มีเนื้อปลาและเครื่องเทศภายใน
ของหวานเป็นองุ่นเคียวโฮ ตัวองุ่นเปลือกหนาเชฟท่านหนึ่งได้ปอกเปลือกองุ่นให้เราได้ทาน
กินได้ทั้งเปลือก หรือ จะแกะเปลือกออกก็อร่อยไปอีกแบบนึง
ปิดท้ายด้วยไอศครีมสาเก และ ไอศครีมชาเขียว รสสาเกธรรมดาไปนิดนึงมีกลิ่นเหล้านิดหน่อย
ส่วนไอศครีมชาเขียวนี่อร่อยจริงๆ แนะนำให้สั่งชาเขียว
อาหารที่ชอบมากๆของร้านนี้คือ
1.โอโทโร่ 2.Isaki เนื้อปลากระพง 3.ไข่หวาน 4.ซูชิปลาหมึก
แต่อย่างอื่นๆก็อร่อยไม่แพ้กันครับ ลองไปทานดูได้
บรรยากาศภายในร้านสะอาดสะอ้าน ร้านจะโทนออกมืดๆ ดูเป็นส่วนตัว
พนักงานบริการดี เชฟเป็นกันเอง ให้ความรู้ประกอบเพิ่มรสชาติอาหารแต่ละคำ
เหมาะที่จะมาทานเป็นครอบครัวเล็กๆ หรือ มาเป็นคู่
ราคาสูงแต่วัตถุดิบก็ไม่ธรรมดา ถ้ามีโอกาศไปสัมผัสกันได้ครับ
เวลาทำการ : 11:30 – 14:30, 17:30 – 22:30
โทร.02-632-6660
สถานที่ ตึกชาญอิสระ ชั้น1